ในยุคโควิด 19 ที่แทบทุกคน ทุกธุรกิจ ต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันแบบใหม่ หรือ New Normal โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวธุรกิจโรงแรม ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตครั้งนี้ วันนี้ TREBS ได้หยิบยกเรื่องราวที่เกี่ยวกับธุรกิจโรงแรมจากมุมมองของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมอย่าง ดร.ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม กรรมการบริหาร บมจ.ดุสิตธานี ว่าจะมีทิศทางในการบริหารธุรกิจโรงแรมให้อยู่ร่วมกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างไร
ธุรกิจโรงแรมจะอยู่อย่างไรท่ามกลางสงครามโรคระบาดที่ยังไม่มีท่าทีจะจบลงง่ายๆ
“ช่วงแรกเราคิดว่าเกิดผลกระทบแรงแน่ แต่สั้น แต่ไม่ได้มองว่ามันจะลากยาวมาถึงขนาดนี้”
ธุรกิจท่องเที่ยว คือกลุ่มที่ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงและได้รับความเสียหายมากที่สุดในช่วงที่ไวรัส COVID-19 ระบาดในช่วงที่ผ่านมา หนึ่งในธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็คือธุรกิจโรงแรมและที่พัก แม้ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการของธุรกิจกลุ่มนี้จะมีการปรับตัวมาตลอด แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าครั้งนี้อาจจะยังไม่พอ
ดร. ศุภจี สุธรรมพันธุ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองการรับมือและจัดการกับวิกฤตโควิด-19 ของกลุ่มเครือดุสิตว่า กลุ่มดุสิตเป็นกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ (hospitality) ที่ผ่านมาเจอสถานการณ์ดิสรัปชัน (disruption) มาเยอะแยะมากมายก่อนที่จะเจอวิกฤตโควิดด้วยซ้ำไป
วิกฤตโควิดทำทุกอย่างหยุดชะงักลงไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่เป็นจากต่างประเทศด้วยเช่นกัน พอร์ตโฟลิโอของเรามีอยู่ประมาณ 330 กว่าแห่งใน 15 ประเทศทั่วโลก ทุกพอร์ตหยุดหมด ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าการเดินทางหยุดลง เพราะฉะนั้นรายได้ที่มาจากธุรกิจท่องเที่ยวก็หายไปโดยสิ้นเชิงในช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกันไปเรามีพอร์ตโฟลิโออยู่ที่จีน 9 โรงแรม ก็ปิดหมดตั้งแต่ช่วงต้นปี ยกเว้นในตะวันออกกลางที่ไม่ปิดเลย แต่ก็ได้รับผลกระทบหนักหน่วงเช่นกัน เรียกว่าเป็นวิกฤติที่ใหญ่เลยก็ว่าได้
แม้ก่อนหน้านี้ธุรกิจท่องเที่ยวอาจจะเคยเจอวิกฤติในลักษณะนี้มาแล้วจากช่วงโรคระบาดอย่าง SARS หรือ MERS มาก่อน แต่ครั้งนี้ร้ายแรงกว่า เพราะปัจจุบันคนเดินทางเยอะขึ้นมาก และเมื่อเกิดเรื่องขึ้น ก็เลยได้รับความเสียหายไปเต็มๆ
“ธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทยถือเป็นธุรกิจต้นทางของธุรกิจอื่นๆ ที่ตามมา ถ้ามองในแง่ผลกระทบกับจีดีพี กว่าครึ่งมาจากธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ดังนั้นเมื่อเกิดผลกระทบ ก็เลยทำให้ไทยมีความตึงตัวมากกว่าประเทศอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน”
อย่างไรก็ดี เมื่อเจอวิกฤตครั้งนี้เมื่อประมาณต้นปี โจทย์แรกที่กลุ่มดุสิตกังวลและโฟกัสก็คือเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัย Safety และ Hygiene ของลูกค้าและพนักงานเป็นเรื่องสำคัญ ช่วงแรกเราคิดว่าเกิดผลกระทบแรงแน่ แต่สั้น คิดว่าสัก 3-4 เดือนน่าจะเอาอยู่ และน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ประมาณเดือนกรกฎาคม การจัดการกับธุรกิจก็คือดูแลเรื่องพนักงานก่อน แล้วก็ปรับในเรื่องไฟแนลเชียล แต่ไม่ได้มองว่ามันจะลากยาวมาถึงขนาดนี้
#อ่านต่อ https://www.trebs.ac.th/th/news_detail.php?nid=182
สามารถดูรายละเอียดอื่นเพิ่มเติมได้ที่: www.trebs.ac.th